Nothing To Say ร้านกาแฟ specialty ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยประดิษฐ์มนูญธรรม

Nothing To Say ใครบอกว่ากาแฟพูดไม่ได้… พามาทำความรู้จักร้านกาแฟ Specialty ที่ปล่อยให้รสชาติกาแฟทำงานกับความรู้สึกและสื่อสารกับเราโดยไม่ต้องพึ่งพาคำบรรยาย

ทุกองค์ประกอบที่หลอมรวมกันภายใต้ชื่อของ Nothing To Say มอบความชัดเจนและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งแต่โลโก้ร้านที่ออกแบบมาอย่างซื่อตรง เข้าใจง่าย แต่แฝงด้วยมิติอันลึกซึ้ง ด้วยรูปคลื่นเสียงที่เสริมดีเทลหยดน้ำตรงกลาง สะท้อนความหมายของการสื่อสารผ่านรสชาติกาแฟ

Let coffee say it all

ขณะที่เมนูเครื่องดื่มและการตกแต่งร้านเต็มไปด้วยลูกเล่นหลากหลาย ชวนให้เราได้ลุ่มหลงไปในโลกของกาแฟ ซึ่งมาพร้อมกลิ่นอายในสไตล์ Mid-Century Modern จัดวางองค์ประกอบเรียบง่ายด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ เพิ่มความฉูดฉาดด้วยของตกแต่งอย่างหมอนสีเหลืองตัดกับสีโทนเข้มของโซฟา หรือไม่ว่าจะเป็นโคมไฟสีแดง ส้ม รวมไปถึงสีสันจากหน้าปกของแผ่นเสียงที่ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ร้านแห่งนี้

และหากถามว่าทำยังไงให้ศิลปะในแก้วกาแฟที่นี่โดดเด่นสู้สีสันจากเหล่าของตกแต่งภายในร้าน คุณโจ้ กิตติคุณ ทรงวัฒนา หนึ่งในหุ้นส่วนของร้าน ตอบเรามาว่า

“กาแฟเป็นสีดำ แล้วพอเราดื่มเข้าไป สีมันจะอยู่ในจินตนาการ”

อันที่จริงถ้าคุณก้าวเข้ามาในร้านแล้วสังเกตเห็น Coffee Teaster’s Flavor Wheel หรือวงล้อกลิ่นรส สำหรับนักชิมกาแฟ ที่ถูกตั้งเอาไว้ระหว่างโซฟาสองตัวด้านซ้ายมือนี้ ก็จะเข้าใจความหมายของประโยคที่คุณโจ้กล่าวมาได้ทันที เพราะ Aftertaste ของกาแฟที่ได้สัมผัสจะชวนให้เรานึกถึงสีที่มาคู่กัน อย่างความเปรี้ยวและกลิ่นหอมของผลไม้ ก็ชวนให้นึกถึงสีโทนร้อน อาทิ สีแดง ส้ม หรือกลิ่นของควันหรือเถ้าถ่านก็ชวนให้นึกถึงสีเทา น้ำตาล ขึ้นมา

อีกทั้งเครื่องคั่วที่ตั้งอยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์บาร์ และโทนกาแฟที่มีให้เราเลือกหลากหลายนี้ ก็อธิบายได้ดีว่านอกจาก Nothing To Say จะเป็นร้านกาแฟแล้ว ที่นี่ยังเป็นโรงคั่วอันมีเอกลักษณ์ในการคั่วกาแฟอีกด้วย โดยคอนเซ็ปต์ของการคั่วจะเน้นดึงน้ำตาลจากกาแฟออกมาให้มากที่สุด จนได้เมล็ดกาแฟของร้านที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือรสหวานที่เคลือบอยู่ในปาก ทิ้งทวนพร้อมชวนให้กลับมาลองอีกซ้ำๆ

House Blend สไตล์ Nothing To Say เป็นแบบไหน ?

“พูดถึง House Blend ต้องเริ่มจากคอนเซ็ปต์การคั่วก่อน อย่างแรกเลยคือไม่เขียว หมายความว่าต้องคั่วจนสุกนั่นเอง เมื่อกาแฟคั่วสุก สิ่งที่เอฟเฟกต์กับร่างกายของเรา คือจะไม่รู้สึกแห้งปากเวลาเราดื่มกาแฟ และอีกอย่างถ้าเราคั่วจนสุกแล้ว จะมีความเปรี้ยว-หวานเข้ามาบาลานซ์ ซึ่งตอนนี้ผมจะทำด้วยการยืดเวลาตรงน้ำตาลให้มันมาเกาะ ลองสังเกตตอนเราดื่ม รสชาติจะเกาะปากอยู่นานมาก จนเราขับรถออกไปกลิ่นกาแฟก็ยังอยู่ในปากเรา”

Dark Roast คั่วเข้มที่นี่จะใช้เมล็ด Laos และ Brazil เบลนด์ด้วยความตั้งใจให้ติดกลิ่นควันจากการคั่วน้อยที่สุด

Medium Roast เลือกใช้เป็น Brazil และ Guatemala เบลนด์เข้าด้วยกัน จะได้ความหอมแบบอัลมอนต์และวานิลลาค่อนข้างเยอะ อีกทั้งได้ความหวานของวานิลลาจริงๆ โดยที่ไม่มีการแต่งกลิ่น

สุดท้าย Light Roast คั่วอ่อนของทางร้าน ใช้เมล็ด Ethiopia และ Columbia มอบกลิ่นหอม Floral และ รสเปรี้ยวส้ม โดยที่ความโดดเด่นคือความหนาแน่นและความเข้มข้นสูง ทั้งยังสู้นมได้ดีอีกด้วย

ซึ่งที่นี่ก็มีเมนูเอสเย็น (Es-Yen) ที่ใช้เมล็ดคั่วอ่อน เพิ่มมิติของรสชาติให้แปลกใหม่ขึ้นอีกด้วย ถ้านึกภาพไม่ออก คุณโจ้บอกว่า ลองสมมติเป็นตอนที่ทานกาแฟคั่วอ่อนแล้วสัมผัสได้เป็นบลูเบอร์รี ทานอีกแบบจะได้ความรู้สึกเป็นแยม ที่เพิ่มความเปรี้ยว เข้ม หวาน เข้ามานั่นเอง

ทำความรู้จักเรื่องราวของร้านกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ถัดมาที่ด้านเมนูกันบ้าง

ร้านใส่ใจในการคั่วขนาดนี้ แน่นอนว่าเมนูแรกที่ขอนำเสนอเลยคือ Americano ซึ่งเราอยากชวนให้มาลองกันด้วยตัวเองว่ากาแฟที่นี่สื่อสารอะไรกับคุณบ้าง

Dirty To Say เมนูเดอร์ตี้ที่ล้อไปกับชื่อร้าน เสิร์ฟความหวานแบบไม่ใส่ไซรัป โดยที่ใช้นมเป็นตัวดึงรสหวานของกาแฟ บอกเลยว่าเทคนิคนี้ทางร้านตั้งใจมากๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกนมที่มอบความพอดี ทั้งยังนำเสนออกมาชัดและกลมกล่อม เข้ากันได้ดี อีกทั้งแก้วนี้ยังปรับให้ทานง่ายขึ้นด้วยการเติมช็อกโกแลตเข้ามาเพิ่มมิติความหอมหวาน

Not Whisgars เห็นหน้าตาสุดเท่แบบนี้ แต่นี่ไม่ใช่ทั้งวิสกี้และซิการ์ ต้องขอชมเลยว่าร้านครีเอทออกมาได้น่าสนใจมาก ด้วยทั้งรูปลักษณ์และรสชาติ มอบประสบการณ์ทานเครื่องดื่มที่ให้ความรู้สึกราวกับทานขนม ผ่านส่วนผสมอย่างชินนาม่อนเบิร์นที่จุ่มลงในกาแฟและนมมะพร้าว

Tiger Mocha อีกเมนูที่ชูมอคค่าให้น่าสนใจมากขึ้นด้วยลูกเล่นไม่ว่าจะแต่งลายด้วยนูเทลล่า หรือรสชาติที่เลือกใช้คั่วเข้ม ซึ่งมีกลิ่นถั่วผสานกับนูเทลล่า มอบความเข้มข้นมากขึ้น

โดยไอเดียของเมนูนี้ที่คุณโจ้เล่าให้ฟังคือ “Tiger Mocha จริงๆ แล้วตัวที่ทำเป็นลายของไทเกอร์คือนูเทลล่าซึ่งมีส่วนผสมของถั่ว ก็เลยเลือกใช้เป็นคั่วเข้มที่รสชาติมีความเป็นถั่ว และเพิ่มความเป็นดาร์กช็อกเข้ามา กลายเป็นถั่วผสมนูเทลล่า มีความเข้มข้นมากขึ้น”

จากปกติแล้วเราทานเครปแผ่นหน้านูเทลล่า ใส่กล้วย ใส่ซอสช็อกโกแลตเยอะๆ อะไรแบบนี้ ผมก็เลยพยายามจำลองให้เมนูนี้เป็นขนมมากขึ้น อยากชูมอคค่าด้วย เพราะรู้สึกว่าคนเริ่มกินกาแฟจากมอคค่า แล้วไปทานอย่างอื่นก็อาจจะหลงลืมมอคค่าไป เลยอยากทำลูกเล่นของมอคค่าให้ดีขึ้น”

เล่าเกี่ยวกับเมนูกาแฟกันไปบ้างแล้ว ขอสลับมาฝั่ง non-coffee ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน 

เริ่มต้นกันที่ชามัทฉะ (Matcha) โดยทางร้านคัดสรรมาเป็นมัทฉะพรีเมียม เลือกรสชาติที่มีความเป็นสาหร่ายมีเอกลักษณ์ ตามมาด้วยความหวานละมุน ทั้งสู้น้ำ สู้นมได้ดีอีกด้วย

ชวนมาลอง Matcha Latte สัมผัสความสมดุลของนมกับชา ที่ตัวมัทฉะสู้นมได้ดี ส่วนฝั่งของนมก็ทำหน้าที่เพิ่มความกลมกล่อมให้แก้วนี้ได้อย่างลงตัว เป็นรสชาติที่ถ้าให้ชาว Matcha Lover มาอธิบาย คงพูดออกมาเลยว่า “อูมามิ” (Umami)

คุณกิ้ฟท์ กานต์ธิดา พันธุมพงษ์ หุ้นส่วนอีกคนของร้านเล่าถึงชาตัวนี้ว่า “ชามัทฉะของเรา เป็นมัทฉะพรีเมียม เราเอามาขายเพราะเราเทสแล้วชอบ มัทฉะตัวนี้สู้นม แล้วนมไม่ได้กลบกลิ่นของมัทฉะ ดื่มเข้าไปแล้วนัว รู้สึกถึงความครบรสในปาก ทำให้อร่อยขึ้น หรือแม้กระทั่งเอาไปทำชาดำใส่น้ำ ไม่ได้ให้ความเขียว หรือให้กลิ่นสาหร่ายขนาดนั้น มันทั้งสู้น้ำและสู้นม และถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกมัทฉะตัวนี้ เพราะว่าเราพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุด”

ส่วนชาอื่นๆ อย่าง ชาไทย เองก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ด้วยเพราะตั้งใจคัดสรรชาชั้นดี และมาเบลนด์ให้เป็นชาในแบบฉบับของ Nothing To Say

Chulalongkorn Rose Yusu Soda เมนูโซดาซิกเนเจอร์ของร้าน เสิร์ฟรสชาติสุดโรแมนติกด้วยกลิ่นหอมดอกกุหลาบจุฬาลงกรณ์มิกซ์กับยูสุ เข้าด้วยกันแบบพอดี ไม่หวานหรือเปรี้ยวโดด

นอกจากนี้ ที่นี่ไม่เพียงแต่ครบจบในส่วนของเมนูเครื่องดื่ม แต่อาหารก็พร้อมเสิร์ฟแบบจัดเต็มไม่แพ้กัน แนะนำให้มาลอง ปอเปี๊ยะผักโขมอบชีส, มัสมั่นเนื้อ และ สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า Earth Meat เมนูวีแกน วัตถุดิบส่วนที่เป็นเนื้อทำมาจากโปรตีน

ปอเปี๊ยะผักโขมอบชีส
ปอเปี๊ยะผักโขมอบชีส
มัสมั่นเนื้อ
สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า Earth Meat
Lemon Loaf Cake

รวมถึงเมนูของหวานเองก็พร้อมเสิร์ฟเช่นกัน โดยร้านจะมีการผัดเปลี่ยนเมนูไปในแต่ละวัน เหมาะนั่งทานคู่กันกับกาแฟที่สุด เราขอแนะนำอยากให้มาลองเป็น Lemon Loaf Cake กันดูนะ

สุดท้ายนี้คำถามที่ว่าอยากให้ลูกค้าที่เข้ามาได้อะไรกลับไป เราได้คำตอบจากคุณโจ้ว่า “อยากให้ลองมาทานกาแฟ เสพบรรยากาศ และพัฒนาในการชิมกาแฟของตัวเอง เพราะในการชิมกาแฟของร้านเรา สิ่งที่แตกต่างคือถ้าเราตั้งสติในการกิน เราจะได้อะไรที่มากกว่า”

Nothing To Say ไม่ได้เพียงแค่ร้านที่เสิร์ฟ Specialty Coffee รสชาติดี แต่ยังเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เราได้เข้าถึงโลกของกาแฟในมิติที่ลึกซึ้งมากขึ้นในทุกครั้งที่มา

พิกัด

  • Nothing To Say
  • Pet friendly
  • ร้านอยู่ในซอยประดิษฐ์มนูญธรรม 10
  • เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
  • มีที่จอดรถ