ET1.5 (Et one point five) ร้านที่เปิดมาพร้อมคอนเซ็ปต์ของการใช้วัตถุดิบซึ่งมีอยู่ในท้องถิ่นอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน โดยไม่เพียงแค่มอบประสบการณ์มื้ออาหารแสนอร่อย แต่ยังช่วยสนับสนุนความยั่งยืน (Sustainability) อีกด้วย
ปัญหาด้านสภาพอากาศที่เราทุกคนประสบพบเจอในโลกใบเดียวกันนี้ แน่นอนว่ามาจากหลากหลายสาเหตุ แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคืออุตสาหกรรมอาหารเองก็เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตภูมิอากาศ (climate crisis) เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มนุษย์ขาดไม่ได้ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องบริโภคอาหารในทุกวัน แต่สิ่งสำคัญคือเราจะมีส่วนช่วยในการชะลอการเกิดปัญหาในด้านนี้ได้อย่างไรบ้าง
ET1.5 ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เลยเปิดขึ้นมาด้วยความตั้งใจเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือในการช่วยลดปัญหาจากวิกฤตภูมิอากาศทางด้านอุตสาหกรรมอาหาร พร้อมความตั้งใจทำร้านที่ชวนให้คนหันมาสนใจเรื่องของอาหาร low carbon footprint มากขึ้น
บรรยากาศอันอบอุ่นและร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่และการแต่งร้านที่มอบกลิ่นอายแบบวินเทจจากของตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ เข้ากันได้ดีกับชื่อร้านที่ว่า ET1.5 โดยที่ตัวอักษร ET มาจาก Eat ที่เป็นคำภาษาอังกฤษในสมัยโบราณ
ส่วนตัวเลข 1.5 เองก็มีที่มาจาก ‘ความตกลงปารีส (Paris Agreement)’ ว่าด้วยเรื่องจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยในโลกไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียสเทียบจากยุคก่อนอุตสาหกรรม และพยายามรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ร้านเลยหยิบตัวเลขนี้มาใช้เป็นชื่อ เพื่อนำเสนอให้เห็นถึงความสำคัญในด้านนี้ และมีการพยายามควบคุมกรรมวิธีในการทำอาหาร ซึ่งยึดหลักการโดยรวมที่เกี่ยวกับ 4 ข้อหลักๆ
ตั้งแต่ Localvore ที่แนะนำให้คนใช้วัตถุดิบโลคอลมาประกอบอาหารและหันมาสนับสนุนชาวบ้านในชุมชน ทั้งยังเป็นอีกแนวทางที่ช่วยลดมลพิษทางอากาศอันเนื่องมาจากการขนส่ง
อีกอย่างเป็น Zero waste หรือคือการตั้งใจลดขยะให้เหลือน้อยที่สุด โดยหยิบวิธีสำคัญอย่างการนำของก่อนหมดอายุมาใช้และพยายามใช้วัตถุดิบที่ได้มาจนหมด ไม่ว่าจะการหมัก การดอง หรือการแช่แข็งที่ร้านใช้ ต่างก็เป็นวิธีการถนอมและเก็บรักษาอาหารเพื่อยืดอายุการใช้งานให้ได้นานและมีความคุ้มค่ามากที่สุด
ถัดมากับ Alternative Protein วิธีการใช้โปรตีนทดแทน ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในด้านของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการปศุสัตว์
อย่างสุดท้ายกับหลักการทำอาหารแบบ Vegan ก็ถูกหยิบมาผสานในการทำอาหารด้วยเช่นกัน
เมนูแนะนำ
Turkish eggs, homemade yogurt, fiddlehead ferns เมนูจานนี้ชวนมาลองครีมโยเกิร์ตโฮมเมดที่ทางร้านทำขึ้นมาเองจากการหมักตามคอนเซปต์ zero waste ที่เสิร์ฟพร้อมผักโขม ให้ความรู้สึกแบบเดียวกับทานผักโขมอบชีส
ไฮไลต์ของเมนูคือการนำไข่จากไก่ที่เลี้ยงเองในพื้นที่มาใช้ หรือก็คือน้องๆ ที่วิ่งเล่นอยู่บริเวณร้านนั่นเอง ท็อปด้วยมะเขือเทศตากแห้ง ทานคู่กันกับซาวโดวจ์ (Sourdough) อร่อยกำลังดี
Hua hin smoked cheese with pickles, local honey on sourdough เสิร์ฟมาพร้อมซาวโดวจ์แบบโฮมเมดที่ร้านทำเองตั้งแต่การหมักและทำแป้ง ท็อปด้วยชีสรมควันซึ่งได้ชีสมาจากหัวหินหอมมีเอกลักษณ์ มาพร้อมน้ำผึ้งป่าหอมหวาน ทานคู่แยมแปลือกผลไม้และมะกอกดอง
Spinach, pea pancakes with diamond fish filet and bourbon maple syrup เมนูนี้มอบรสชาติและเนื้อสัมผัสที่หลากหลายด้วยการเสิร์ฟแพนเค้กซึ่งใช้ส่วนผสมเป็นถั่ว พร้อมผักโขมและปลาทอดกรอบโดยใช้ปลาโลคอลจากภูเก็ตอย่างปลาโฉมงามมาชุบกับเกล็ดขนมปัง ปิดท้ายด้วยการราดไซรัปดอกไม้หอมละมุน
Cricket flour gnocchi with black garlic and mustard seed เมนูที่ใช้คอนเซปต์ Alternative Protien มาประยุกต์ผ่านการใช้แป้งด้วยโปรตีนจากจิ้งหรีดเนื้อนุ่ม มีกลิ่นเฉพาะตัว ผัดกับกระเทียมดำพร้อมตัวซอสที่เป็นกระเทียมกับผักชีลาวปั่น ทานด้วยกันแล้วกลมกล่อม เข้ากันได้เป็นอย่างดี
ถัดมากับความน่าสนใจของเมนูเครื่องดื่ม ซึ่งที่นี่มีเสิร์ฟน้ำผลไม้หมัก (Fermented Fruit Juice) โดยจะนำผลไม้ อาทิ แอปเปิล สับปะรด เบอร์รี มาผ่านกรรมวิธีการหมัก ได้ความสดชื่นและรสเปรี้ยวจากผลไม้ จากนั้นนำส่วนที่เหลือไปหมักแห้งและใช้สำหรับตกแต่งแก้ว เป็นความตั้งใจที่จะใช้วัตถุดิบอย่างครบครันในทุกส่วน
ส่วนเครื่องดื่มที่อยากให้มาลอง อาทิ
- Berry and Bay lea
- Homemade Apple Cider
- Pineapple Tepacha
พิกัด
- ET1.5
- ซอยลาดพร้าว 15
- เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 9.00-16.00 น. (ปิดวันจันทร์)
- เดินทางได้โดย BTS สถานีห้าแยกลาดพร้าว Exit 2 หรือ MRT พหลโยธิน (ต้องนั่งรถต่อ)
- จอดรถได้ที่ริมถนนในซอย